ประธานบริษัทไมโครซอฟท์ กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญความท้าทายในการหางานทำอย่างมาก โดยคาดว่าจะมีคน 250 ล้านคนต้องตกงานในปีนี้
แบรด สมิธ ประธานไมโครซอฟท์ กล่าวว่า ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกต้องเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อหางานทำให้ได้ หรือรักษางานที่ตัวเองทำอยู่ไว้ ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น
ไมโครซอฟท์ ประกาศเมื่อไม่นานนี้ว่า มีแผนจะฝึกทักษะและอบรมให้กับคน 25 ล้านคนทั่วโลกภายในปีนี้ เพื่อช่วยให้คนเหล่านี้มีงานทำ
โดยลิงก์อิน (LinkedIn) ซึ่งเป็นของไมโครซอฟท์จะช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นายสมิธยอมรับว่ามีงานจำนวนมากในหลายประเทศ ที่ไม่สามารถจะจัดฝึกอบรมทางดิจิทัลได้
"มันคือความจริงที่ว่า ธรรมชาติของงานต่าง ๆ มีความหลากหลายแตกต่างกันไปทั่วโลก ไม่ใช่ว่างานทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัลได้หมด โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา" นายสมิธกล่าว
"เราอยู่ในโลกของความไม่เท่าเทียมทางอินเทอร์เน็ต ถ้าเราไม่ทำอะไรบางอย่างในเรื่องนี้ ความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องอื่น ๆ ก็จะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก นี่คือภารกิจที่บริษัทเดียวหรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าเราสามารถเข้าถึงคน 25 ล้านคนได้ เราก็จะรู้สึกว่า เราได้ทำในส่วนที่เราควรทำแล้ว"
ไมโครซอฟท์จะบริจาคเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 624 ล้านบาท ให้แก่องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรต่าง ๆ ในโครงการนี้ นอกเหนือจากการให้ใช้บริการต่าง ๆ ของไมโครซอฟท์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หลายคนอาจจะคิดว่า นี่เป็นเงินเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัทที่เพิ่มขึ้น 5 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 15.7 ล้านล้านบาทเมื่อปีที่แล้วของไมโครซอฟท์
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ดูเหมือนจะทรงอิทธิพลในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ตอนนี้ยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้น มูลค่าของดัชนี S&P 500 ราว 20% เป็นของบริษัทเทคโนโลยีเพียง 5 แห่งของสหรัฐฯ คำถามก็คือประธานไมโครซอฟท์เข้าใจหรือไม่ว่าเหตุใดคนจำนวนมากจึงคิดว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีทรงอิทธิพลมากเกินไป และจำเป็นต้องมีการควบคุม
"เทคโนโลยีคือเครื่องมืออันทรงพลัง แต่มันก็เป็นอาวุธที่ร้ายแรงได้ถ้าตกอยู่ในมือของคนที่ไม่ดี" เขากล่าว "ดังนั้น นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับเทคโนโลยีที่จะ ต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าที่เคยเป็นมา"
ประธานไมโครซอฟท์กล่าวด้วยว่า "ผมคิดว่า ผู้คนมีคำถามมากขึ้นกว่าที่เคย และนั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย การทำให้ผู้คนมั่นใจว่าเทคโนโลยีคือพลังในด้านดี รัฐบาลต่าง ๆ จำเป็นต้องพัฒนากฎหมายที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วมากขึ้น ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องควบคุมตัวเองบ้าง
"ปัญหาเกือบทุกอย่างจะแก้ไขไม่ได้ถ้าไม่มีเรา"
การทำให้สังคมโลกเห็นชอบกับการควบคุมและเก็บภาษีด้านเทคโนโลยีนับเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง และหลายประเทศก็เกรงว่าเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล จะยิ่งทำให้การเก็บภาษีเงินได้ยากขึ้นไปอีก ทั้งที่รัฐบาลทั่วโลกต้องการภาษีเงินได้นับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาใช้ในการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะนำไปสู่การใช้หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการว่างงานครั้งใหญ่เร็วขึ้นไปอีก นายสมิธคิดว่า บริษัทเทคโนโลยีควรมีความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อการจ้างงานที่เกิดจากบริษัทเหล่านี้
"ข่าวดีคือรัฐบาลต่าง ๆ มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นในการทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องมีความรับผิดชอบและตอบสนองภายใต้กฎหมาย" เขากล่าว
"ภาครัฐและเอกชนมีหน้าที่ช่วยให้ประชาชนมีทักษะที่จำเป็นเพื่อทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มากกว่าที่ได้รับผลกระทบ"
"ผมคิดว่าเราทุกคนจำเป็นต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีแก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้ แต่ปัญหาเกือบทุกอย่างจะแก้ไขไม่ได้ถ้าไม่มีเรา เราต้องอยู่บนโต๊ะเจรจา"
"มีอิทธิพล" - Google News
July 18, 2020 at 06:41PM
https://ift.tt/3fIYPk7
ประธานไมโครซอฟท์เผย เตรียมฝึกทักษะให้คน 25 ล้านคน รับมือการเปลี่ยนแปลงสู่โลกยุคดิจิทัล - บีบีซีไทย
"มีอิทธิพล" - Google News
https://ift.tt/3gIvPK6
Home To Blog
No comments:
Post a Comment